ย่านศาลหลวงตาทองเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เด็กซนอย่างผมเมื่อครั้งวัยเยาว์ต้องปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นวนไปมาผ่านศาลหลวงตาทอง วิ่งเล่นอยู่บริเวณพื้นที่ศาลอยู่ประจำ เมื่อถึงงานประจำปีแม่และพ่อก็จะพาซ้อนท้ายจักรยานบ้าง มอเตอร์ไซค์บ้างเพื่อมาชมงิ้ว ดูหนังในงานประจำปีศาล
ผมเองยังชอบยืนดูการแสดงงิ้วบนเวที ทั้งเครื่องแต่งกายต่างๆ เสียงร้องสูงที่ไม่เหมือนการแสดงของคนไทยทั่วไป บางครั้งก็ปั่นจักรยานไปคนเดียว ไปดูเขาแต่งหน้าทาแป้งด้วยสีสันสดใส เขียนคิ้ว ทาปากใต้เวที แต่กระนั้นก็มิได้สนใจในประวัติความเป็นมาของศาลหลวงตาทองเท่าใดนัก จวบจนเมื่อโตขึ้นรู้ความมากขึ้นจึงพอได้ฟังเรื่องราวที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังสั้นๆ
หากจะกล่าวถึงประวัติหลวงตาทอง ผมก็นึกถึงหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง เมื่อ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ขึ้นมาทันที หนังสือเล่มนี้ผมเคยเห็นเมื่อสมัยผมเด็กๆ ครั้ง หนึ่ง แต่ก็ไม่มีเก็บและหาไม่เจออีกเลย จนกระทั่งช่วงออกค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกระทุ่มแบน ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณตาศิริ เติมประยูร มอบให้จำนวน ๑ เล่ม
ภายในหนังสือเล่มนี้คุณตาศิริ เติมประยูร ยังได้ทำหน้าที่รวบรวม และเรียบเรียงประวัติหลวงตาทองขึ้นมาได้อย่างละเอียดครบถ้วน โดยได้มีการสอบถามข้อมูลจากพระครูสุตาธิการี (หลวงพ่อทองอยู่) แห่งวัดใหม่หนองพะอง ซึ่งในอดีตเคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด เรียกได้ว่าเป็น "ศิษย์ก้นกุฏิ" หลวงตาทองเลยทีเดียว รวมถึงได้ข้อมูลจากท่านผู้เฒ่าในบริเวณตลาดกระทุ่มแบนและใกล้เคียงที่มีโอกาสได้ทราบถึงเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการเขียนข้อมูลด้วย ดังนั้น ผมจึงขอนำบทความที่คุณตาศิริ เติมประยูร ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าว มาพิมพ์เผยแพร่เป็นความรู้กับชาวกระทุ่มแบนและผู้สนใจต่อไปครับ โดยจะแทรกรูปที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ และที่ผมเองรวบรวมไว้ในบางช่วงตอน
ประวัติหลวงตาทอง
รวบรวมและเรียบเรียงโดย นายศิริ เติมประยูร
นายศิริ เติมประยูร - ผู้ริเริ่มก่อตั้งศาลหลวงตาทอง / ผู้รวบรวมข้อมูลเรียบเรียงเขียนประวัติหลวงตาทอง ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ |
หลวงตาทอง เดิมจะอุปสมบท ณ วัดใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด ทราบเพียงว่า ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่หนองพะอง ตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ต่อมาจึงย้ายมาที่วัดนางสาว ตำบลท่าไม้ ในท้องที่อำเภอเดียวกัน ครั้นเมื่ออายุได้ประมาณ ๕๐ ปีเศษ ท่านได้มายังบริเวณสี่แยกกระทุ่มแบน (บริเวณที่ตั้งศาลปัจจุบัน) และพิจารณาเห็นว่าสถานที่นี้เหมาะสมแก่การตั้งกุฏิสำหรับนั่งวิปัสสนา เพราะในสมัยนั้นเป็นที่ที่สงบเงียบ ปราศจากบ้านเรือนและผู้คน เป็นปารกชัฏมีสิงสาราสัตว์อาศัยอยู่ อีกทั้งยังมีหลุมฝังศพอยู่ทั่วไปในบริเวณนั้น จึงตกลงใจสร้างกุฏิขึ้นหนึ่งหลังซึ่งชาวบ้านในสมัยนั้น เรียกว่า "วัดกุฏิเดียว" แต่มักจะไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านมาทางนี้เพราะเป็นที่เปลี่ยวบรรยากาศวิเวกวังเวงไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ซึ่งต่อมาหลวงตาทองก็ได้อยู่จำพรรษาในกุฏิหลังนี้จนสิ้นอายุของท่าน
จากคำบอกเล่าของท่านผู้รู้ทำให้ได้ทราบว่าในสมัยนั้น หลวงตาทองเป็นสมณะที่เคร่งครัดในทางธรรม มีความเซี่ยวชาญในทางเวทย์มนต์คาถาไม่ว่าจะเป็นด้านการอยู่ยงคงกระพัน และเมตตามหานิยม จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วบริเวณนั้น นอกจากนี้ท่านยังสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้กับบรรดาชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อชาวบ้านคนใดหรือลูกหลานใครเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็ได้อาศัยหลวงตาทอง ช่วยรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายขาดไปได้ทุกคราวไป ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์เมตตาแก่ทุกคนด้วยดีตลอดมา
ความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจของท่านอีกประการหนึ่งก็คือ สามารถสวดพระปาติโมกข์ได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยนแม้ว่าจักษุทั้งสองจะมองไม่เห็น ทั้งยังเดินไปไหนมาไหนด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีคนจูงอีกด้วย เล่ากันว่าเวลาที่ท่านไม่อยู่ในกุฏินั้นหากมีผู้ใดแอบขึ้นไปเที่ยวเล่นก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือของผู้ใดไม่ทราบมาเขกศีรษะจนต้องรีบเผ่นหนีลงมาแทบไม่ทันทุกทีไป จึงไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปทำยุ่มย่ามเช่นนั้น ในขณะที่ทนไม่อยู่อีกเลย
หลวงตาทองได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งนี้จนอายุได้ประมาณ ๗๐ ปีเศษ ก็ถึงแก่มรณภาพ หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้วชาวบ้านต่างก็ยังพากันกราบไหว้บูชาระลึกถึงท่านอยู่เสมอมา
ต่อมา ในราวปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นชาวตลาดกระทุ่มแบน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งศาลปัจจุบัน ต่างพากันสร้างศาลเล็กศาลน้อยไว้หลายหลัง สอบถามดูก็ได้ความว่าตั้งไว้เพื่อบูชาหลวงตาทองกันทั้งนั้น
ส่วนตัวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำการค้าอยู่ในบริเวณนี้ดัวย ก็ได้รับการแนะนำจากบิดาคือ นายชัย เติมประยูร ให้ตั้งของไหว้พร้อมทั้งจุดรูปเทียนบูชาสอนให้ข้าพเจ้าเรียกว่า "หลวงพ่อทอง" แล้วขอความคุ้มครองจากท่านให้อยู่เย็นเป็นสุขและประกอบการค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ถือปฏิบัติเช่นนั้นเป็นประจำตลอดมา เพราะถือว่าท่านเป็นเหมือนเจ้าที่เจ้าทาง ทั้งยังเคยมีพระคุณอย่างล้นเหลือต่อบรรพบุรุษ จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าน่าที่จะสร้างศาลหลวงตาทองขึ้นมาสักหลังหนึ่งเพื่อให้เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านในแถบนี้
ศาลหลวงตาทองหลังแรก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ |
เมื่อนำความไปปรึกษากับบรรดาพ่อค้าและประชาชน ก็ได้รับความเห็นชอบด้วยเป็นอย่างดี ทุกคนจึงร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างศาลหลวงตาทองหลังแรกขึ้น ตัวศาลทำด้วยไม้ มีขนาดกว้าง ๒ เมตร ยาว ๑.๕๐ เมตร หลังคามุงด้วยสังกะสี ภายในมีรูปสมมุติของหลวงตาทองตั้งอยู่ ๑ องค์ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ภายในตู้ที่เก็บเครื่องใช้ของหลวงตาทอง) เมื่อก่อสร้างเสร็จก็ได้จัดให้มีงานฉลอง โดยมีพิธีทางศาสนาในตอนเช้า นิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูปเจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเช้า จากนั้นจึงอัญเชิญรูปสมมุติหลวงตาทองแห่รอบบริเวณตลาดกระทุ่มแบน ตกกลางคืนจัดให้มีมหรสพสมโภชรวม ๔ คืน มีทั้ง
การแสดงลิเก และงิ้ว เนื่องจากว่าประชาชนที่เคารพนับถือในหลวงตาทองนั้นมีมากมายทั้งชาวไทยและชาวจีน สำหรับงิ้วนั้นจัดให้แสดงประชันกันถึง ๒ คืน แต่ในคืนประชันนั้นปรากฏมีฝนตกลงมาอย่าง
หนักทำให้ทั้งคนดูและคนแสดงต่างเปียกปอนไปตามๆ กัน และจากนั้นมาเมื่อมีศาลหลวงตาทองตั้งไว้เป็นหลักแหล่งถาวรแล้วประชาชนทั่วไปต่างก็พากันมากราบไหวับูชาเป็นประจำมิได้ขาด ถึงวันเทศกาล
สำคัญไม่ว่าจะเป็นตรุษจีน สารทจีนก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ มาถวายท่านกันอย่างเนืองแน่นในทุกๆ ปี ศาลเล็กศาลน้อยที่เคยตั้งไว้ก็ค่อยๆ ยุบไปจนหมด
ครั้งหนึ่งรูปสมมุติหลวงตาทองที่ตั้งไว้ภายในศาลนั้นเกิดหายไปโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยปรากฏว่ารูปเจ้าแม่กวนอิมทำด้วยหยกจากประเทศจีน ซึ่งเป็นของเก่าแก่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่ข้าพเจ้านำมาถวายไว้ได้หายไปเช่นกัน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าจะทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เสียแล้ว จึงออกติดตามสืบเสาะอยู่เป็นเวลาหลายวัน จนได้ทราบข่าวว่าขณะนี้มีผู้พบเห็นรูปสมมติองค์นี้อยู่ที่บริเวณตำบลท่าเสา แต่ไม่ทราบเป็นที่แน่นอนว่าตกอยู่กับผู้ใด ข้าพเจ้าจึงเริ่มลัดเลาะสอบถามไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณคลองท่าเสา ได้พบกับท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง จึงเข้าไปกราบแจ้งความประสงค์และสอบถามท่านโดยหวังว่าบางทีท่านอาจจะทราบว่ารูปสมมุติที่หายไปนั้น ขณะนี้อยู่ที่ใด เมื่อท่านผู้นั้นได้ฟังก็หัวเราะแล้วชี้มือไปทางหนึ่งพร้อมกับพูดว่า "โน่น" อยู่บนหัวนอน ฉันเก็บได้ที่วัดเลยนำมาบูชาไว้ที่นี้เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาแล้ว ข้าพเจ้าดีใจมาก จึงขอคืนจากท่านเพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่ผู้ที่เคารพศรัทธาต่อไป ท่านผู้เฒ่าก็ยอมคืนให้แต่โดยดีและไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น รูปสมมุติองค์นั้นจึงได้กลับคืนมาเป็นที่สักการบูชาของชาวกระทุ่มแบนอีกครั้ง คราวนี้เป็นรูปหล่อปูนป้องกันไว้แข็งแรงแน่นหนา จึงไม่มีการสูญหายไปไหนอีก
สำหรับความเป็นมาของรูปสมมุติหลวงตาทององค์นี้ คือเดิมทีนั้นเมื่อก่อสร้างศาลเสร็จ ข้าพเจ้าและคณะกรรมการต่างมีความเห็นว่า ควรจะมีรูปสมมุติตั้งไว้สักองค์หนึ่งเพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและระลึกถึงหลวงตาทอง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐานขึ้นว่าหากมีรูปสมมุติองค์ใดที่มีลักษณะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงโดยจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล และความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาวกระทุ่มแบนแล้ว ขอบารมีแห่งหลวงตาทองโปรดจงมาดลจิตดลใจช่วยชี้นำให้ข้าพเจ้าได้พบรูปสมมุติองค์นั้นด้วย
จากนั้นจึงเดินทางเข้ากรุงเทพมาถึงบริเวณหัวเม็ด สะพานหัน สายตาเหลือบไปเห็นร้านค้า ซึ่งภายในร้านตั้งพระบูชาไว้องค์หนึ่งหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์เป็นรูปพระสงฆ์ในท่านั่งสมาธิมีลักษณะงดงามมากจนทำให้ข้าพเจ้าต้องเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ ก็ยิ่งพอใจและปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาตั้งไว้ในศาลหลวงตาทองจึงเจรจาขอเช่าจากเจ้าของพระซึ่งก็ยินดีที่จะให้เช่าโดยคิดราคา ๑๐๐ บาท แต่เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญก้าวหน้าต่อไป ข้าพเจ้าขอต่อรองลงมาเป็น ๙๙ บาท จึงได้นำกลับมาตั้งไว้กราบไหว้บูชาสมดังความปรารถนา โดยมาทราบในภายหลังว่าพระบูชาองค์นั้นเป็นรูปจำลองขององค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี หรือที่เราท่านนับถือท่านในนาม "สมเด็จโต วัดระฆัง" นั่นเอง
ศาลหลวงตาทองหลังที่ ๒ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ |
พิธีเปิดศาลหลวงตาทองหลังหลังที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔
ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕
ยิ่งนานวันจำนวนผู้คนที่พากันมากราบไหว้หลวงตาทอง ก็เพิ่มมากขึ้นทั้งชาวไทยและชาวจีน ศาลหลวงตาทองจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอกระทุ่มแบน แต่เมื่อมีผู้คนมาสักการะกันมากๆ ตัวศาลก็ดูเหมือนจะเล็กและคับแคบเกินไป ดังนี้ในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๔ พ่อค้าประชาชนชาวตลาดกระทุ่มแบนก็ได้พร้อมใจกันสร้างศาลใหม่ขึ้นอีกหนึ่งหลังให้ใหญ่โตกว้างขวางกว่าเดิมเพราะมีขนาดกว้างถึง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร ผนังคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้อง ได้มีการทำพิธีเปิดศาลเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๔ โดยท่านนายอำเภอกระทุ่มแบน (แอดมินกระทุ่มแบนโฟโต้เพิ่มเติม : นายอำเภอสมัยนั้นคือ นายรัตน์ นราภิรักษ์) เป็นประธานในพิธีเปิด
นอกจากนี้ ยังได้นำรูปจำลองขนาดเท่าองค์จริงของหลวงตาทองซึ่งร่วมกันออกแบบโดย มหาเงิน แช่มสาคร กับข้าพเจ้า แล้วว่าจ้างให้ช่างผู้ชำนาญจากกรุงเทพฯ เป็นผู้หล่อแล้วนำมาประดิษฐานไว้ภายในศาลโดยมีการกระทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณของหลวงตาทองมาสิงสถิตซึ่งทางคณะกรรมการได้นิมนต์พระญวนจากวัดหลวงพ่อบ๋าวเอิงสะพานขาวมาร่วมพิธีด้วย ซึ่งได้มีปรากฏ
การณ์ปาฏิหาริย์หลายอย่าง ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่มาร่วมพิธีในวันนั้นโดยทั่วหน้ากันและในปีต่อๆ มาก็ได้ถือเอาเดือนมีนาคมนี้เป็นเวลาที่จัดให้มีงานสมโภช มีมหรสพต่างๆ ให้ชมฟรีในทุกๆ ปี บางปีเคยมีงิ้วประชันระหว่างงิ้วแต้จิ๋วกับงิ้วไหหลำ ก็ปรากฏว่ามีผู้คนให้ความสนใจมาร่วมงานกันมากมายอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
พลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ รน. ผู้บริจาคที่ดินสร้างศาลหลวงตาทองหลังปัจจุบัน
ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองศาลหลวงตาทอง วันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕
|
สำหรับการสร้างศาลหลังที่สองนี้ก็เช่นเดียวกับหลังแรก คือได้รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวอำเภอกระทุ่มแบนเป็นอย่างดี เริ่มต้นจากท่านเจ้าของที่ดินคือ พลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ รน. ซึ่งได้สละที่ดินให้ทำการขยายเนื้อที่บริเวณตัวศาลได้ตามสะดวกอย่างไม่จำกัดจำนวน อีกทั้งยังกรุณาช่วยออกแบบตัวศาล ช่วยกำหนดสีพร้อมกับรับเป็นประธานจัดงานประจำปีมาทุกๆ ปีจนถึงปัจจุบันนับเป็นบุญบารมีของหลวงตาทองและเป็นความโชคดีของพวกเราชาวกระทุ่มแบนเป็นอย่างยิ่งที่ท่านผู้นี้ได้อุทิศที่ดินให้สร้างศาลและร่วมงานด้วยดี ทั้งแรงกายและใจเสมอมาทุกๆ ปี หาไม่แล้วศาลหลวงตาทองอันสง่างามเป็นสะพานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งทางใจของพวกเราจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ข้าพเจ้าผู้เขียนขอขอบคุณท่านพลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ แทนชาวกระทุ่มแบนไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งด้วยความจริงใจ
ความภาคภูมิใจของชาวกระทุ่มแบนเกี่ยวกับตาลหลวงตาทองนี้อย่างหนึ่งคือ เมื่อครั้งที่จอมพลประภาส จารุเสถียร ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ได้มาตรวจราชการที่อำเภอกระทุ่มแบน จอมพลประภาสฯ พร้อมคณะผู้ติดตามราว ๓๐ คน ยังได้แวะกราบนมัสการปิดทองหลวงตาทอง เนื่องจากได้ทราบถึงกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติแก่อำเภอกระทุ่มแบนเป็นอย่างยิ่ง
---
และทั้งหมดข้างต้นก็คือประวัติทั้งหมดที่ผมคัดลอกมาให้ได้อ่านกันครับ ส่วนเรื่องของปาฎิหาริย์และเรื่องเล่าอื่นๆ ของหลวงตาทองที่อยู่ในหนังสือเล่มเดียวที่คัดลอกมานี้ จะทยอยนำเสนอในโอกาสถัดไปครับ หวังว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านจะได้รับความรู้ และถ่ายทอดบอกเล่ารุ่นลูก รุ่นหลานและคนในพื้นที่ เพื่อเป็นประโยขน์สืบไปครับ ที่สำคัญผมเองในฐานะคนรุ่นหลังต้องขอบคุณคุณตาศิริ เติมประยูร ที่ช่วยบันทึกเรียบเรียงข้อมูลเหล่านี้ไว้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนรุ่นหลังมากๆ ครับ ปัจจุบันถ้าผมจำไม่ผิดคุณตาน่าจะอายุเกือบ ๑๐๐ ปีแล้วครับ ผมขอบุญกุศลในความดีที่คุณตาศิริได้มีส่วนร่วม ส่วนทำทั้งหมด และบารมีหลวงตาทอง ได้โปรดคุ้มครอง อำนวยอวยพรให้ท่านมีอายุยืนนานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ครอบครัวท่าน และคนกระทุ่มแบนสืบไปครับ
บริเวณย่านศาลหลวงตาทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓
เจ้าของภาพ Facebook : Maysa Meesiri ครับ
|
บริเวณย่านศาลหลวงตาทอง น่าจะถ่ายหลังช่วง พ.ศ. ๒๕๑๓
เจ้าของภาพ Facebook คุณโชค สนามหลวง เมทัลไทย
|
บริเวณหน้าศาลหลวงตาทอง ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๖ เจ้าของภาพ คุณคณนภัส อินทร์พิทักษ์ |
รูปหล่อองค์หลวงตาทอง ภายในศาลหลวงตาทอง ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ เจ้าของภาพ โรงพิมพ์ศรีการช่าง |
รูปหล่อองค์หลวงตาทอง ภายในศาลหลวงตาทอง ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ จากฐานองค์หลวงตาทองสลักชื่อว่า "นางกิมเก้ก เรียบร้อยเจริญ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔" เจ้าของภาพ โรงพิมพ์ศรีการช่าง |